วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประวัติขนมไทย

ประวัติของขนมไทย

      สมัยสุโขทัย ขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศคือ
จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหาร การกินร่วมไปด้วย
       สมัยอยุธยา เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอา
วัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่
หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทย
แท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ
แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย มารี กีมาร์หรือ ท้าวทองกีบม้า
      “มารี กีมาร์หรือ ท้าวทองกีบม้าเกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209
 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ
 “ฟานิก (Phanick)” เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ อุรสุลา ยามาดา
(Ursula Yamada)” ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไร
ชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่ง
ของ ท้าวทองกีบม้าได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง หัวหน้าห้องเครื่องต้นดูแลเครื่องเงินเครื่อง
ทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลอง
           พระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน
ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทอง พระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการ
นี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและ
อื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คน
ไทยมาจนปัจจุบันนี้
         ถึงแม้ว่า มารี กีมาร์หรือ ท้าวทองกีบม้าจะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต
 มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิด ให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่น
หลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย
        ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไป
ประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัด
เป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่
กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้
ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอด
จนแลกเปลี่ยน
        วัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับ
ประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพ
ท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออก
ว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้า
เตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น
สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ
 ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่
ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น ของเทศเช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์
          ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้
เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน
ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่าง
กันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องใน
การทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานสิริมงคล ต่าง ๆ เช่น
งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็น
ศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน
 ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

โทษของการกินน้ำตาลมากเกินไป หรือกินของหวานมากเกินไป

ของหวานกับคนยุคนี้ ดูเหมือนว่าแทบจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเป็นรสชาติที่สามารถตอบสนอง ต่อความต้องการของคนได้มากที่สุดนั่นเอง
จึงทำให้อาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มแทบทุกประเภท ก็ล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของน้ำตาล อยู่ด้วยกันแทบทั้งนั้น
แต่การรับประทานน้ำตาล หรือขนมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกินไปนั้น สามารถส่งผลเสียกับร่างกายได้เป็นอย่างมาก
และก็เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ ตามมาได้ เช่น
โรคเบาหวาน
ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตอันดับต้นๆ ของคนไทย ที่ป่วยเป็นโรคนี้กันมาก
และดูเหมือนว่าอายุของผู้ป่วยเบาหวานในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ว่าจะเกิดแต่กับเฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น
เด็กๆ หรือหนุ่มๆ สาวๆ ก็เริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวานมากขึ้นเช่นกัน
 มีผลต่อการทำงานของอวัยวะ
อย่างตับ ไต และหัวใจ เพราะน้ำตาลเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว
หากไม่ได้รับการเผาผลาญออก ก็จะสะสมจนกระทั่งกลายเป็นไขมัน
ซึ่งจะไปทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น จนส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายนั่นเอง

โรคอ้วน

ปัจจุบันไม่เพียงแต่เฉพาะคนไทย แต่เป็นคนจำนวนมากทั่วโลก ที่ต้องประสบปัญหาโรคอ้วน
ซึ่งก็มีสาเหตุหลักๆ มาจากการชอบรับประทานของหวานเป็นประจำ และไม่ค่อยออกกำลังกายนั่นเอง

ฟันผุ

นี่คือสิ่งที่ทุกคนคงได้เรียนกันมาตั้งแต่ยังเด็ก การรับประทานขนมหวานเป็นประจำ
และทำความสะอาดช่องปากได้ไม่ดีพอ ก็จะเพิ่มโอกาสทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย

นอกจากนี้ น้ำตาลยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ได้อีกมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นไมเกรน วัณโรค มะเร็งบางชนิด และยังเพิ่มโอกาสเสี่ยง
ต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
รวมไปถึง การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป ยังส่งผลต่อสภาวะทางอารมณ์
ทำให้หงุดหงิดและฉุนเฉียวง่ายได้อีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีโทษอยู่มากมาย

แต่น้ำตาลก็ยังถือว่ามีความจำเป็นต่อร่างกายอยู่เช่นกัน
เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องรู้จักจำกัดปริมาณของน้ำตาลที่ได้รับต่อวัน
ให้เหมาะสมตามสภาพร่างกายของแต่ละคน นั่นรวมถึงข้าวด้วย
เพราะในที่สุด เมื่อรับประทานข้าวเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะกลายเป็นน้ำตาลนั่นเองค่ะ